หากจะกล่าวสถาปัตยกรรมโบราณที่อยู่คู่กับอิตาลีมาอย่างยาวนานจนกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศแต่ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนต้องยกให้กับหอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa) หรือในภาษาอิตาลีว่า “Torre Pendente Di Pisa” สถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงอยู่ได้ด้วยการเยียวยาเพื่อยืดอายุให้ได้นานที่สุด


หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower of Pisa)

หอเอนเมืองปิซาเป็นหอระฆังหินอ่อนสีขาวของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกตั้งอยู่ในเมืองปิซา ตัวหอเป็นทรงกระบอก 8 ชั้น สูง 181 ฟุต แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายรองรับไว้โดยรอบ แต่ความคลาสสิกไม่ได้อยู่ที่ลวดลายตกแต่งแต่อยู่ที่การเอียงตัวของหอ

หอเอนมีความสำคัญทั้งในแง่ประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์เพราะกาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) เคยใช้หอนี้เป็นสถานที่ทดลองเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงโดยการโยนลูกบอล 2 ลูกที่มีน้ำหนักไม่เท่ากันลงมาจากบนหอซึ่งผลลัพธ์ก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดการเอาไว้และจากการทดลองนี้ก็ได้กลายมาเป็นทฤษฏีที่เรารู้จักกันดี

หอเอนเมืองปิซาเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางและได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในฐานะส่วนหนึ่งของจัตุรัสดูโอโมแห่งปิซา (Piazza Dei Miracoli) ในปี 1987 จากองค์การยูเนสโก ตัวหอนั้นเริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1173 แต่ด้วยปัญหานานัปการทั้งสภาพดินที่เกิดการยุบตัวทำให้โครงสร้างเกิดอาการเอียงรวมทั้งภาวะสงครามทำให้การก่อสร้างต้องยืดเยื้อนานเป็นร้อยปีจนกระทั่งเสร็จสิ้นเมื่อปี 1350 นับว่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

เพื่อคงรักษาหอไว้ให้ได้นานที่สุดจึงได้มีการร่วมมือกันระหว่างทีมวิศวกร สถาปนิกและนักปะวัติศาสตร์ในการทำให้หอหยุดการเอียงอย่างถาวรเพราะพบว่าตัวหอจะเอียงเพิ่มขึ้น 1 นิ้ว ในทุก 20 ปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมีแต่จะทำให้ตัวหอเอนมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้จึงมีเพียงการประคองไม่ให้ตัวหอเกิดการเอียงไปมากกว่านี้จนล้มลงมาโดยไม่รู้ว่าจะทำไปได้อีกนานเท่าไหร่