เมืองซูวอนได้ชื่อว่าเป็นเมืองป้อมปราการเพราะมีป้อมปราการโบราณตั้งอยู่ แม้ปัจจุบันเมืองซูวอนจะมีการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมมากขึ้นแต่ภายในเมืองก็ยังคงรักษาเอาไว้วึ่งความเป็นเมืองโบราณได้อย่างดีทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาเยือนอย่างไม่ขาดสาย
ป้อมปราการฮวาซอง (Hwaseong Fortress)
ป้อมปราการโบราณอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองซูวอนสร้างขึ้นตามแนวไหล่เขาเป็นแนวยาวในสมัยราชวงศ์โชซอน ในช่วงสงครามเกาหลีนั้นป้อมฮวาซองได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตี กระทั่งในปี 1975 จึงได้มีการบูรณะป้อมขึ้นมาใหม่โดยใช้งบประมาณมหาศาล ต่อมาในปี 1997 ป้องฮวาซองก็ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก ป้อมปราการฮวาซอง
วัดยงจูซา (Yongjusa Temple)
วัดเก่าแก่สมัยโชซอนสร้างในปี 1790 บนตำแหน่งที่เคยเป็นวัดในสมัยอาณาจักรซิลลามาก่อน วัดยงจูซาหรือที่หมายถึง “วัดมุกมังกร” (Dragon Jewel Temple) สร้างขึ้นตามบัญชาของพระเจ้าชองโจเพื่อรำลึกถึงพระบิดาผู้ล่วงลับเช่นเดียวกับป้อมฮวาซอง ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุหลายอย่างอาทิเจดีย์เจ็ดชั้น ระฆังทองเหลืองน้ำหนัก 1.5 ตัน และภาพวาดพระพุทธเจ้าในวิหารใหญ่ของจิตรกรชั้นครูสมัยโชซอนที่ยังคงได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดี
สุสานยุงกอนนึง (Yunggeonneung Royal Tomb)
สถานที่ฝังพระศพพระเจ้าชองโจและเจ้าชายซาโดตั้งอยู่บริเวณชานเมือง สุสานยุงกอนนึงหรือที่รู้จักกันในชื่อ “สุสานเจ้าชายถังข้าว” ในอดีตเจ้าชายซาโดนั้นถูกใส่ร้ายจนต้องถูกนำตัวไปขังก่อนจะสิ้นพระชนม์และนำพระศพไปฝังยังจุดที่ฮวงจุ้ยไม่ดี ในเวลาต่อมาเมื่อความผิดของเจ้าชายซาโดได้รับการล้างมลทินเป็นที่เรียบร้อยจึงได้มีการย้ายพระศพมาฝังไว้ยังยุงกอนนึงในตำแหน่งปัจจุบันนี้โดยลักษณะสุสานนั้นเป็นแบบมูลดินที่เป็นเนินลูกเล็กๆ
หมู่บ้านวัฒนธรรมพื้นบ้านเกาหลี (Korean Folk Village)
ออกจากเมืองซูวอนออกมาไม่ไกลนักก็จะเข้าสู่เมืองยองอินเพื่อชมหมู่บ้านวัฒนธรรมเกาหลี ภายในบริเวณมีสิ่งปลูกสร้างให้ชมกว่า 200 หลังทั้งบ้านเรือนแบบโบราณ ร้านค้า ทั้งสิ่งปลูกสร้างอื่นๆที่จำลองแบบมาจากหมู่บ้านในสมัยโชซอนที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ในสมัยโบราณที่ถูกนำมาจัดแสดงไว้ นอกเหนือจากการเดินชมสิ่งปลูกสร้างแล้วในหมู่บ้านยังมีการแสดงพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน