ในประวัติศาสตร์จีนเป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายว่าดินแดนแห่งนี้เคยตกอยู่ภายใต้ร่มเงาการบริหารของสตรีผู้สถาปนาตนเองเป็นองค์จักรพรรดิหญิงเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี แต่ใครเลยจะเชื่อว่าหลายปีต่อมาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อสตรีอีกหนึ่งนางได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจเบ็ดเสร็จในการบริหารบ้านเมือง


พระนางซูสีไทเฮา (Empress Dowager Cixi)

ไม่ต้องอธิบายมากความก็คงรู้กันดีอยู่แล้วว่าสตรีที่เรากำลังหมายความถึงนั้นก็คือ "ซูสีไทเฮา" นางพญาคนสุดท้ายของแผ่นดินมังกรที่กุมอำนาจทั้งหมดในราชสำนักเอาไว้แล้วคอยสั่งการจักรพรรดิผู้ไร้ซึ่งอำนาจทุกอย่างอยู่เบื้องหลังม่านไม้ไผ่ และต่อไปนี้ก็คือประวัติของนางโดยสังเขป

"ซูสีไทเฮา" (Empress Dowager Cixi: 慈禧太后) หรือ "สมเด็จพระจักรพรรดินีเสี้ยวชิงเสี่ยน" หรือ "สมเด็จพระจักรพรรดินีฉือสี่" พระพันปีหลวง สตรีผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลาที่หลายคนรู้จักนางว่าเป็นหญิงเหล็ก สำหรับในภาพยนตร์มักกล่าวว่านางคือจอมเผด็จการ ป่าเถื่อน ลึกลับ ใจแคบ ผูกพยาบาท บ้าอำนาจและเป็นไทเฮาที่โหดร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติจีน

ซูสีไทเฮาเกิดเมื่อ 29 พฤศจิกายน 1835 ชื่อเดิมของนางคือ "หลันเอ๋อร์" (Laner) นางเป็นทายาทตระกูลขุนนางแต่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยมากมายนัก เมื่อครั้งยังสาวคาดว่านางเป็นคนสวยมากคนหนึ่งตามกฎเกณฑ์ของสตรีที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าวังได้จะต้องมีคุณสมบัติแรกคือความสวย

ในตอนที่เข้าวังใหม่ๆนางใช้นามสกุลของบพรรพชนจึงทำให้ไม่เป็นที่โปรดปราณขององค์ฮ่องเต้ ฐานะของนางจึงเป็นแค่นางสนมในราชสำนักและเป็นชั้นที่ต่ำต้อยที่สุด แต่การเป็นคนไม่ยอมแพ้และไม่ยอมอยู่อย่างเดียวดายโดยไม่ทำการช่วงชิงใด นางจึงใช้ความสวยและความเจ้าเล่ห์ก้าวขึ้นมาเป็นคนโปรดของจักรพรรดิเสียนเฟิงได้สำเร็จ

ปี 1856 ซูสีได้ให้กำเนิดพระโอรสนาม "อ้ายซินเจว๋หลัว ไจ้ฉุน" หรือในเวลาต่อมาคือ "สมเด็จพระจักรพรรดิถงจื้อ" (Tongzhi Emperor) เหตุการณ์นั้นนับเป็นการเบิกร่องสู่ประตูสวรรค์อย่างแท้จริง ซูสีค่อยๆก้าวขึ้นสู่อำนาจเปลี่ยนจากหญิงสาวธรรมดากลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน


ซูสีไทเฮากับเหล่าราชบริพาร (Empress Dowager Cixi)

ช่วงที่ราชสำนักแมนจู (ชิง) เกิดความอลหม่านเมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสยกทัพมายังกรุงปักกิ่ง แม้ราชสำนักจะส่งแม่ทัพฝีมือดีออกไปปราบแต่พ่ายแพ้ย่อยยับและถูกบังคับให้ลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงซูสีไทเฮานำพาราชวงศ์ผ่านพ้นสงครามฝิ่นถึง 2 ครั้ง นับว่าช่วงชีวิตของนางมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นมากมายทั้งสถานการณ์บ้านเมืองตลอดจนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ความทะเยอทะยานอันไม่สิ้นสุดส่งผลให้ซูสีขึ้นบริหารอำนาจเบื้องหลังม่านไม้ไผ่หลังจากฮ่องเต้เสียนเฟิงสวรรคตและองค์รัชทายาทยังเด็กเกินไป นางทำการปฏิวัติภายในราชสำนัก จับผู้สำเร็จราชการที่ฮ่องเต้เสียนเฟิงแต่งตั้งประหารชีวิต 9 ชั่วคน และเปลี่ยนศักราชใหม่เป็นหงจื้อปีที่ 1 ในวันที่ 5 ตุลาคม ทำให้ตอนนี้นางกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินมังกรและปกครองนานถึง 48 ปี ก่อนจะเสด็จสวรรคตอย่างสงบในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1908 หลังจากแต่งตั้งปูยีเป็นจักรพรรดิเพียง 1 วัน (บางข้อมูลกล่าวว่าพระนางไม่ได้เลือกปูยีเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ เพียงแต่ปูยีเป็นผู้มีสิทธิ์จึงขึ้นครองบัลลังก์ตามกฎมณเฑียรบาล) พร้อมกับระบอบราชวงศ์ที่เริ่มเสื่อมลงจนเรียกได้ว่าพระนางซูสีไทเฮาคือ "จักรพรรดิองค์สุดท้าย" ตัวจริงของจีน

ในช่วงที่ยังอยู่ในอำนาจพระนางได้ทำการปฏิรูปประเทศในหลายๆด้านจนต้องยอมรับว่านางมีความรู้ความสามารถมากจริงๆ แต่ในอีกด้านหนึ่งนางก็ได้สร้างตราบาปแห่งความเกลียดชังให้แก่ราษฎรโดยเฉพาะการผลาญงบประมาณมหาศาลในการนำไปสร้างสถานที่สำคัญเช่น พระราชวังฤดูร้อนอันเลื่องชื่ออันเปรียบเสมือนสวรรค์ของนางซึ่งต้องเกณฑ์แรงงานจำนวนมากมาใช้ในการก่อสร้าง แม้ในปัจจุบันพระราชวังฤดูร้อนจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของจีน