ในบรรดาชุดแต่งกายประจำชาติเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้จักหรือคุ้นเคยกับชุดกิโมโนที่สุด (แม้จะไม่เคยสวมใส่) ทั้งจากสื่อภาพยนตร์หรือในการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราคุ้นตามาตั้งแต่วัยเด็กเป็นเอกลักษณ์ให้เราได้นึกถึงความเป็นญี่ปุ่น โดยเฉพาะในปัจจุบันเราอาจจะเห็นการดัดแปลงชุดกิโมโนให้กลายเป็นชุดที่เซ็กซี่ขึ้นมาบ้าง
อย่างที่รู้กันดีว่าชุดกิโมโน (Kimono) เป็นชุดแต่งกายประจำชาติญี่ปุ่นที่ในปัจจุบันเราก็ยังคงเห็นชาวญี่ปุ่น (รวมทั้งชาวต่างชาติ) สวมใส่กันอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือในโอกาสพิเศษต่างๆ หรืออาชีพที่ต้องสวมใส่เป็นประจำอย่างเกอิชา รวมทั้งในย่านที่คนพลุกพล่านเราก็อาจเห็นชาวญี่ปุ่นสวมกิโมโนกัน
ชุดกิโมโนนั้นมีต้นแบบมาจากชุดแต่งกายในราชสำนักจีนที่เริ่มเผยแพร่เข้ามาในสมัยนาระโดยลักษณะเป็นชุดคลุมยาว แขนกว้าง เหมือนชุดที่เราได้เห็นในภาพยนตร์จีนแนวย้อนยุค แต่ชาวญี่ปุ่นเริ่มหันมาใส่กันมากขึ้นในสมัยเฮอันเพราะรูปแบบที่สวมใส่ง่าย
ต่อมาในสมัยมุโรมาจิ (Muromachi) มีการปรับชุดให้เข้ากับวัฒนธรรมของญี่ปุ่นจึงได้มีการดัดแปลงรูปแบบของกิโมโนโดยการทำให้ส่วนแขนสั้นลงและใช้สายคาดเอวที่ทำจากผ้าไหมปักลวดลาย กว้าง 25 เซนติเมตร ยาว 3.7 เมตร เรียกว่า "โอบิ" (Obi) เพื่อเพิ่มความกระชับให้กับชุด ในขณะเดียวกันก็ทำให้ชุดนั้นหนักขึ้นด้วย
แม้จะเป็นกิโมโนเหมือนกันแต่ก็มีการแบ่งแยกถึงสถานะ (เล็กน้อย) ชุดกิโมโนสำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะเป็นกิโมโนแบบที่มีแขนสั้น เรียบง่ายไม่มีลวดลายฉูดฉาด ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานจะใส่ชุดที่เรียกว่า "ฟุริโซเดะ" (Furisode) ชุดกิโมโนที่มีแขนยาวกว่าและมีสีสันสดใสกว่าแบบแรก นอกจากนี้ก็ยังมีกิโมโนที่มีการดีไซน์ให้มีความเซ็กซี่เข้าไปโดยทำให้ชุดนั้นสั้นลง
นอกจากชุดที่ดูหนาให้ความอบอุ่น เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนหรือตามเรียวกัง ผู้คนจะสวมใส่กิโมโนอีกแบบหนึ่งเรียกว่า "ยูกาตะ" (Yukata) หรือ "กิโมโนฤดูร้อน" เป็นชุดลำลอง โดยรูปแบบนั้นจะไม่กระชับมาก เนื้อผ้าจะบางและระบายความร้อนได้ดีกว่ากิโมโนปกติที่ค่อนข้างหนา